Popular Posts

Wednesday, April 3, 2013

New Honda CR-V 2013 น่าใช้หรือเปล่า


New Honda CR-V 2013 น่าใช้หรือเปล่า
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก automobiles.honda.com
Honda CR-V 2013
หลังจากที่รอคอยกันมานาน สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวีรุ่นล่าสุดของทางค่ายฮอนด้า “นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี” (New Honda CR-V) ในที่สุดทางค่ายได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมเผยราคาจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าทางฮอนด้าจัดหนักและจัดเต็ม เพื่อหวังครองตลาดบ้านเราให้ได้ทั้งหมดภายในปีนี้
สำหรับ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ตัวล่าสุดนี้ จัดเป็นรุ่นที่ 4 ของตระกูล ซีอาร์-วี ที่ออกแบบโดยเน้นความหรูหราโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเท่มากขึ้น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ 3 ชั้นพร้อมคิ้วโครเมียม ไฟท้ายและไฟเบรกแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์พร้อมกันชนท้ายขนาดใหญ่เฉพาะตัว และล้ออัลลอยด์ 5 ก้านขนาดใหญ่สุดเนี้ยบ ซึ่งทั้งหมดออกแบบมาได้อย่างกลมกลืน ส่วนสมรรถนะเบื้องต้น เครื่องยนต์จะมี 2 รุ่นได้แก่ เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ SOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 190 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า
แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 220 นิวตันเมตร ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นนั้น มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ผสานกับระบบควบคุมอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างสะดวก รวมทั้งช่วยลดแรงเสียดทานและการสั่นสะเทือนได้อย่างดี นอกจากนี้ยังมีระบบอีโค แอสซิสต์ (Eco Assist) ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปอีก และยังสามารถรองรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเอทานอล E85 ได้อีกด้วย
All-New Honda CR-V 2013 rear red colour
ด้านภายในห้องโดยสารจะเน้นความกว้างขวางมากกว่ารุ่นเดิม เพราะเป็นรถเอสยูวีสำหรับครอบครัวขนาดย่อมอย่างแท้จริง โดยเป็นรถขนาด 5 ที่นั่ง ซึ่งที่นั่งด้านหลังคนขับนั้นพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ความจุในห้องวางของได้มากขึ้น วัสดุภายในรถไล่ตั้งแต่พรม หนังหุ้มคอนโซล เบาะที่นั่ง ทั้งหมดใช้วัสดุคุณภาพดีทั้งสิ้น ตัวคอนโซลรถมีการปรับปรุงใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ (i-MID) ซึ่งสามารถช่วยนำทาง บอกปริมาณน้ำมัน เชื่อมต่อสัญญาณสมาร์ทโฟนระบบ Bluetooth รวมไปถึงมีหน้าจอแอลซีดีไว้เลือกชมเพื่อความบันเทิง เรียกได้ว่าเป็นรถเอสยูวีที่หรูหราและอเนกประสงค์แบบสุด ๆ
All-New Honda CR-V 2013 Engine
สำหรับผู้ที่กำลังสนใจ นิว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่ปล่อยให้ต้องรอกันนานอีกต่อไป เพราะในตอนนี้ได้วางจำหน่ายและเผยถึงราคาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่รุ่น 2.0 S แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,164,000 บาท รุ่น 2.0 E แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,274,000 บาท รุ่น 2.4 EL 2WD แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1,440,000 บาท และรุ่น 2.4 EL แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,524,000 บาท ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าการขายไว้ที่ 20,000 คัน ภายใน 1 ปี

น้ำมันแก๊สโซฮอล์น่าใช้หรือเปล่า


น้ำมันแก๊สโซฮอล์น่าใช้หรือเปล่า
 
          แก๊สโซฮอล์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่างเอทานอล หรือ ที่เรียกว่า เอทิลแอลกอฮอล์ (ETHYL ALCOHOL) ซึ่งเป็น แอลกอฮอล์ ที่ได้จากการแปรรูปจากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ และเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5 % โดยปริมาตร ผสมกับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 (ชนิดที่มีคุณสมบัติบางตัวต่างจากเบนซิน 91 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน) ในอัตราส่วนเบนซิน 9 ส่วน เอทานอล 1 ส่วน จึงได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95
 
 
         ส่วนที่เรียกแก๊สโซฮอล์นั้น ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษจากคำว่า GASOLINE และ ETHANOL รวมกันเป็น GASOHOL สำหรับการผสมแอลกอฮอล์ในน้ำมันเบนซินในข้างต้น เป็นในลักษณะของสารเติมแต่งปรับปรุงค่า Oxygenates และออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซิน ซึ่งสามารถใช้ทดแทนสารเติมแต่งชนิดอื่นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ MethyL-Tertiary-ButyL-Ether (MTBE) ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่าหลายพันล้านต่อปี
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (GASOHOL)

        ทุกวันนี้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินที่ลิตรละเกือบ 30 บาท ได้ทำลายสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยและกลายเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดในทุกวงการได้พูดคุยถกเถียงกันหนาหู ถึงราคาที่ปรับขึ้นจนใกล้เข้าสู่จุดวิกฤตอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้สืบเนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ขยับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วยประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมด และยังคงต้องพึ่งพิงน้ำมันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องพยายามหาแหล่งพลังงานทดแทนในประเทศมาใช้แทนน้ำมัน และหาแนวทางการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 Image
จากความต้องการของพลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศไทยในปี พ.ศ.2548 พบว่า ภาคขนส่งมีการใช้พลังงานมาที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38 เกือบทั้งหมดเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่
 
ประเทศไทยจะต้องลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ “แก๊สโซฮอล์”
ที่มา energy.go.th

Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า


Jeep Grand Cherokee SRT-8 สเปค ราคา ความคุ้มค่า
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก leftlanenews.com
 
          ถ้าพูดถึงรถจี๊ป คุณคงนึกถึงรถใหญ่ ๆ ที่เหมาะสำหรับการขับเที่ยวลุยป่าลุยเขาหรือพื้นผิวที่ลำบากได้เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่ได้เห็นรถแรงของจี๊ปคันล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวออกมานี้ เห็นทีว่าภาพลักษณ์เดิม ๆ ของจี๊ปในความคิดคุณอาจจะเปลี่ยนไป เมื่อจี๊ปได้ผลิต Jeep Grand Cherokee SRT-8 รถจี๊ปรุ่นล่าสุดที่มาความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยผลิตมา
          โดยรถจี๊ปรุ่น SRT นี้เป็นการปรับปรุงรุ่น แกรนด์ เชโรกีขึ้นมาใหม่ ตัวย่อ SRT มาจาก Street and Racing Technology ซึ่งเป็นแผนกพัฒนาระบบเครื่องยนต์ขั้นสูงของบริษัทไครสเลอร์ ( Chrysler ) ส่วนรหัส 8 ที่ต่อท้ายหมายถึงเครื่องยนต์ V8 เวอร์ชั่นแรงของแกรนด์ เชโรกี มีเครื่องยนต์แบบใหม่ล่าสุด HEMI V8 ด้วยเทคโนโลยีประหยัดน้ำมัน ความจุ 6.4 ลิตร สามารถวิ่งได้ถึง 800 กิโลเมตร สำหรับน้ำมันถังแรก ขณะที่ถังต่อมาได้ประมาณ 720 กิโลเมตร
          ด้านเครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ประมาณ 470 แรงม้า และแรงบิดประมาณ 63 กิโลกรัมต่อเมตร อัตราเร่งทำได้ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 257 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและระยะเบรคจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนหยุดนิ่ง อยู่ที่ 35 เมตร ส่วนระบบเกียร์นั้นเป็นแบบ LSD ( Limited Slip Differential ) ที่ช่วยแก้ปัญหาเวลารถตกหล่ม ลดอาการล้อฟรี ช่วยควบคุมการสะเทือนและทรงตัวของรถได้อีกด้วย พร้อมระบบขั้นสูงจาก Brembo
          สำหรับจี๊ป แกรนด์ เชโรกี SRT-8คันนี้ ได้ออกจำหน่ายให้ผู้ที่ชื่นชอบรถลุยแรง ๆ เรียบร้อยแล้ว โดยราคาประมาณอยู่ที่ 61,160 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,960,000 บาทไทย

ความรู้เรื่องเกี่ยวกับท่อไอเสีย


ความรู้เรื่องเกี่ยวกับท่อไอเสีย
 
ก่อนเข้าเรื่องต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ท่อไอเสียมันมีหน้าที่ไว้ทำอะไรก่อนนะครับ เผื่อจะสับสนกับท่อแอร์หรือท่อน้ำฉีดกระจก หน้าที่หลักๆของมันก็คือ
1. ข้อแรกกำปั้นทุบดินชัดๆไปเลยว่า เอาไว้ระบายไอเสียที่เครื่องยนต์มันไม่ต้องการแล้วออกจากเครื่องยนต์
2. เอาไว้ลดเสียงระเบิดในเครื่องยนต์ให้มันน้อยลง
3. เอาไว้กรองมลพิษให้ออกมาสู่อากาศให้น้อยลง
 
ทีนี้มาเจาะลึกกันทีละข้อเลยนะครับ ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังหน้าที่ของมันเนี่ยมันเริ่มตรงไหน อย่างไร ทำไม เพราะอะไร
มาที่ตัวไอเสียก่อน ไอเสียนี่ก็คือสิ่งที่เหลือจากการเผาไหม้ของน้ำมันที่ผสมกับอากาศ(บางคันอาจจะมีไนโตรเจนปนมาบ้าง) สิ่งที่หลงเหลือจะประกอบไปด้วยสารหลายอย่าง เช่นคาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฟอสฟอรัส และพวกโลหะหนักต่างๆเช่น ตะกั่ว และ โมลิบดีนัม ทั้งหมดนี้จะรวมออกมาในรูปของกาซที่พุ่งออกมาภายใต้แรงดันของกระบอกสูบ ผ่านต่อมายังท่อรวมไอเสียหรือที่เรียกว่า Exhaust Manifold หรือบางคันก็จะเป็น Header ก็สุดแท้แต่ เรื่อง Header เอาไว้ก่อนละกันนะครับ เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง เอาเรื่องท่อรวมไอเสียแบบพื้นๆธรรมดาๆก่อน
ท่อรวมไอเสียส่วนใหญ่จะทำมาจากเหล็กหล่อเป็นดุ้นๆมากกว่าจะรูปร่างเป็นท่อ ทำหน้าที่เป็นต่อออกมาโดยตรงจากกระบอกสูบแล้วมารวมกัน ถ้าเครื่องสี่สูบก็จะมีสี่ท่อ จะรวมมาเป็นสองท่อก่อน หรือจะรวมทีเดียวเป็นหนึ่งท่อเลยก็แล้วศรัทธาของค่ายไหน แต่ไอ้แบบสี่ท่อออกมาจนถึงท้ายรถยังไม่เคยเห็น ดุ้นรวมไอเสียแบบธรรมดานี้หน้าตาก็บอกแล้วค่อนข้างปล่อยให้ไอเสียไหลไม่ค่อยคล่อง เครื่องยนต์ก็เลยต้องใช้ความพยายามหนักหน่อยที่จะผลักให้ไอเสียมันผ่านดุ้นนี้ออกมา ก็เลยเสียกำลังไปบ้าง 
ตอนที่ไอเสียมันหลุดออกมาจากกระบอกสูบ ถ้าใครเคยได้ยินรถที่ติดเครื่องเปล่าๆไม่มีท่อรวมไอเสียคงจะรู้ว่ามันดังมาก ย้ำว่าดังมากๆ ดังราวๆกันเสียงปืนเลยทีเดียว ไอเสียมันจะออกมาด้วยแรงดันที่สูงมากที่เกิดจากแรงระเบิดส่วนนึง และจากการขับไล่ไสส่งจากลูกสูบส่วนนึง และอีกส่วนนึงผมยังไม่บอกตอนนี้ละกันอ่านไปเรื่อยๆเดี๋ยวหลุดออกมาเอง
ทีนี้แถมาเรื่อง Header อีกหน่อย ในเมื่อไอเสียมันลอดไปตามรู Header เหมือนกันแล้วเมื่อกี้พูดเหมือนกับว่า ไอเสียมันจะลอดไปดีกว่าแบบธรรมดา มันเป็นยังไงกันแน่ คือแบบนี้ครับ มันดีกว่าในข้อแรกคือ Header มันคือท่อ และมันทำจากท่อ มันจึงดูเหมือนท่อมากกว่า จะดัดจะโค้งจะทำให้ยาวให้สั้นได้ดีกว่า ไอเสียมันก็เลยแยกกันไหลได้ดีกว่าแบบธรรมดาที่เป็นดุ้นที่ไอเสียมันจะออกมาโครมมากองรวมกัน
ตรงนี้ก็คงจะมีคำถามอยู่ในใจแล้วล่ะว่า ถ้ามันบั่นทอนกำลังขนาดนั้น แล้วบริษัทรถยนต์เกือบทั้งหมดในโลกนี้ทำไมไม่ใช้ Header ใส่แบบธรรมดาๆเข้าไปหาพระแสงอันใดล่ะ คำตอบก็คือมันถูกดีครับ ลดต้นทุนไปได้เยอะ แถมติดตั้ง ถอดใส่ได้ง่ายๆอีก แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือรถที่ผลิตออกมา มันไม่จำเป็นต้องแรงเป็นรถแข่งทุกรุ่นหรอกครับ เอาไว้ขับไปจ่ายตลาดเสียก็เยอะ
ขออธิบายง่ายๆแบบนี้ละกันครับ ตอนนี้ให้ไอเสียมันไหลต่อนะครับ
 
ทีนี้มันจะไหลผ่านท่อไปอีกหน่อย ก่อนที่จะเข้าสู่ Catalytic Converter หรือเรียกกันสั้นๆว่า CAT หรือ KAT ก็สุดแท้แต่ แต่อ่านออกเสียงแบบไทยๆว่า ?แคท? เจ้า Catalytic Converter นอกจากจะช่วยกรองสารพิษ(บางส่วน)ที่เป็นอันตรายต่อปอดของคุณเองและผู้อื่นแล้ว ยังช่วยลดการก้องของเสียงที่จะออกมาที่ปลายท่อได้ มีคำร่ำลือปากต่อปากว่าถ้าเอา Catalytic Converter ออกแล้วรถจะแรงขึ้น อันนี้จริงและพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ แต่สองแรงม้าห้าแรงม้าที่มันเพิ่มขึ้นมา ไม่ได้ถึงกับทำให้คุณรู้สึกได้ที่ปลายเท้าของคุณหรอกครับ บางทีแค่เอาของที่คุณเก็บไว้เต็มท้ายรถในรถออกเสียบ้าง เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/กรองอากาศ/หัวเทียนให้ตรงเวลา หรือแม้แต่แล้วกินข้าวเย็นให้มันน้อยลงมาหน่อย มันจะทำให้รถคุณวิ่งดีขึ้นโดยไม่ต้องไปยุ่งยากตัดต่ออะไรเสียด้วยซ้ำไป ในบางประเทศถ้าคุณไปถอดมันออก เค้าถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายที่มีโทษปรับหลายหมื่นไทยบาททีเดียว เก็บมันเอาไว้อย่างนั้นใต้ท้องรถเถอะครับ เชื่อผมเถอะ

พอมันออกมาจาก Catalytic Converter แล้วมันก็จะวิ่งไปอีกหน่อยก่อนเข้า Resonator และ Muffler สองตัวนี้เรียกแบบไทยๆรวมกันว่า ?หม้อพัก? แต่จริงๆแล้ว มันเป็นคนละชนิดกันนะครับ และทำงานไม่เหมือนกัน ไอ้เจ้า Resonator และ Muffler นี้อาจจะมีตัวเดียวหรือหลายตัวก็สุดแล้วแต่ การออกแบบของรถนั้นๆเค้า อ่านต่อไปอีกหน่อยนะครับ เดียวรู้เองว่ามันต่างกันยังไง 
ในบางโฆษณาต่างๆที่เคยเห็นกันบ่อยๆว่า หม้อพัก สูตรเพิ่มแรงม้าอะไรเทือกนั้น อันนี้ไม่จริงครับถามนักแข่งรถ/ช่างทำเครื่องรถแข่งได้เลย เค้าจะบอกว่า หม้อพักที่ดีที่สุดก็คือ ?ไม่มีหม้อพัก? ครับ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงบนท้องถนนหลวงมันต้องมีหม้อพักเพื่อไม่ให้คุณจ่าที่ยืนรอที่หัวมุมถนนสนใจรถคุณมากนัก อีกทั้งเป็นการช่วยลดภาระของเพื่อนบ้านร่วมซอยของคุณที่ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อยตื่นมาสรรเสริญเยินยอรถคุณตามหลังทุกๆวัน แต่ที่บอกว่ามันเพิ่มแรงม้านั่นมันน่าจะหมายถึงว่ามันเอาแรงม้าที่มันเสียไปจากที่ใดที่หนึ่ง กลับคืนมาให้รถคุณแบบที่มันควรจะเป็นเท่านั้นเอง
ก่อนจะปล่อยให้ไอเสียมันออกไปที่ปลายท่อ มาลองดูกันก่อนว่าเจ้า หม้อพัก เนี่ยมันหลักการทำงานอะไรบ้าง มันมีอยู่สามหลักครับคือ แบบดูดซับเสียง(Absorption), แบบจำกัดเสียง (Restriction), และแบบสะท้อนเสียง (Reflection) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหม้อพักทุกหม้อจะมีคุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ บางยี่ห้ออาจมีอย่างเดียว สองอย่าง หรือทั้งหมด แล้วแต่คุณภาพและราคา 
เริ่มที่แบบดูดซับเสียง(Absorption) ก่อนละกัน แบบนี้เป็นแบบที่ ข้างในจะบุด้วยใยแก้ว หรือใยโลหะ ไอเสียจะวิ่งผ่านท่อข้างในที่เจาะเป็นรูพรุน (perforated tube) ที่หุ้มใยพวกนี้ไว้ ทำให้เสียงลดลง แบบดีขั้นมาอีกหน่อย ภายในมันจะถูกกั้นเป็นห้องๆจากห้องใหญ่ไปห้องเล็ก เมื่อไอเสียวิ่งผ่านห้องพวกนี้ มันจะค่อยๆช้าลงเสียงมันจะลดลงด้วย ข้อเสียของแบบนี้คือไม่ค่อยลดเสียงเท่าไหร่ แต่ข้อดีคือไอเสียผ่านได้คล่อง
แบบจำกัดเสียง (Restriction) แบบนี้เป็นแบบมาตรฐานที่เห็นได้ในหม้อพักติดรถและตามร้านท่อไอเสียทั่วๆไป ข้อดีมองไม่เห็นข้อเสียก็ไม่ค่อยชัด เหมือนเดินไปในร้านอาหารบอกว่าอยากกิน Coke แต่เด็กหยิบ Pepsi มาให้หน้าตาเฉย คนก็กินได้หน้าตาเฉย เอาเป็นว่าถ้าอยากกินน้ำซ่าๆสีดำๆ ให้พูดว่า Coke มันจะเป็นยี่ห้ออื่นอะไรก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญที่จะมาไม่จ่ายตังกัน เอาเป็นว่าข้ามไปเลยละกันนะครับ
แบบสะท้อนเสียง (Reflection) แบบนี้เด็ดมาก ต้องคำนวณออกแบบกันให้ดีเลยละครับ ไม่งั้นไม่ work แน่นอน ภายในจะออกแบบให้คลื่นเสียงสะท้อนหักล้างกันภายใน ลองนึกถึงสมการคณิตศาสตร์ที่เรียนตอนเด็กๆ เมื่อโยกตัวแปรทุกอย่างมาทางซ้ายทางขวาจะเท่ากับศูนย์ แล้วคุณก็จัดการตัดเหล็ก พับเหล็ก ม้วนเหล็กตามค่าตัวแปรนั้นเสีย มันเป็นแบบนั้น นี่คือหลักการของ Resonator ด้วย 
เอาล่ะครับเข้าเรื่องได้แล้ว นี่คือตัวเอกของเรื่อง มาทำความรู้จักสิ่งที่เรียกกันว่า Exhaust Pulse กันดีกว่า ผมอยากใช้คำว่า ?ชีพจรของไอเสีย? จัง ฟังดูขลังดี แต่รู้สึกแปลกๆไม่เหมือนว่ากำลังคุยกันเรื่องรถยนต์ เอาเป็นว่าผมเรียกมันว่า Pulse ละกัน เดี๋ยวอ่านจบแล้วรู้ว่ามันคืออะไรช่วยบัญญัติคำสวยๆให้ผมหน่อยเถอะ
Pulse นี่สำคัญ จากที่พูดไว้ตอนแรกแล้วว่า ไอเสียมันออกมาจากเครื่องยนต์ภายใต้แรงดันสูง ทีนี้จดลงไปเพิ่มอีกนิดว่า ?มันจะออกมาทีละสูบไม่พร้อมกันและจะออกมาเป็นช่วงๆมีช่วงเว้นวรรคระหว่างสูบ? ไม่ต้องเอาหูไปแนบฟังว่ามันเว้นวรรคนานขนาดไหนนะครับ มันแค่เศษเสี้ยวของวินาทีไม่สังเกตได้ด้วยตาเปล่าและหูเปล่าๆ เมื่อวาล์วไอเสียเปิด ไอเสียจะไหลออกมา เมื่อปิดไอเสียก็ไม่มี พอเปิดอีกทีมันก็ไหลออกมาอีก ไอ้ช่วงเว้นวรรคระหว่างการคายไอเสียแต่ละสูบเนี่ย เค้าเรียกกันว่า ?Pulse? ยิ่งเครื่องยนต์สูบมาก Pulse ก็ยิ่งสั้นลง
ทีนี้จินตนาการดูว่า เมื่อไอเสียมันถูกดันออกมาเป็นช่วงๆ มันจะเป็นรูปคลื่นวิ่งตามๆกันไปอยู่ในท่อ =>ที่ด้านใกล้เครื่องยนต์จะมีแรงดันมากสุดเทียบกับความดันบรรยากาศ => ที่ด้านใกล้ปลายท่อสุดจะมีแรงดันน้อยกว่าความดันบรรยากาศ ความแตกต่างของความดันระหว่างจุดสองจุดจะทำให้เกิดแรงดูดภายในท่อ เจ้าคลื่นไอเสียจะถูกทำให้เคลื่อนตัวไปภายใต้แรงนี้
เพราะฉะนั้น ตอนนี้อยากจะสรุปไปเลยว่าไอเสียก็คือ ไอเสียที่เครื่องยนต์ไม่ต้องการที่ Pattern ของมันถูกจัดเรียงเป็นคลื่นตามลักษณะของ Pulse นั่นเอง และประสิทธิภาพของการไหลของไอเสีย จะเกิดจากการสร้างท่อไอเสียให้เกิดความแตกต่างของความดันระหว่างต้นท่อกับปลายท่อให้มากที่สุด และต้องให้ ?สอดคล้อง? กับ Pattern ของ Pulse ด้วย 
เมื่อทุกอย่างลงตัว ท่อไอเสียไม่ได้เป็นแค่ท่อเหล็กที่ให้ไอเสียผ่านไปออกที่ท้ายรถเฉยๆอีกต่อไป แต่มันจะช่วย ?ดูด? ไอเสียที่อยู่ในท่อให้ออกไปเร็วขึ้นด้วย และนี่ก็คือหลักการของ Header ด้วยครับ การออกแบบ Header ให้จับคู่กัน ที่มีความความโค้งและความยาวต่างๆกัน จะทำให้เกิดแรง ?ดูด? สลับกันไปสลับกันมา ซึ่งกันและกันครับ
ทีนี้มาเรื่องของขนาดครับ ได้ยินกันมามากว่าท่อยิ่งใหญ่ยิ่งดี อันนี้ตอบไว้ก่อนเลยว่าไม่จริง
แต่ถ้าบอกว่าเครื่องยนต์ของคุณมันต้องการท่อขนาด 3 ? นิ้ว (ไม่ว่าคุณจะไปโมเครื่องยนต์มันมาหรืออย่างไรก็ตามเถอะ) แต่ท่อเดิมของคุณมันเป็น 2 นิ้ว แล้วรถมันวิ่งไม่ออก ไม่แรง คุณต้องไปทำให้มันใหญ่ขึ้นเป็น 3 ? มันถึงจะแรง อันนี้จริง
แต่ไม่ได้หมายความรถคุณใช้ 2นิ้วอยู่ดีๆแล้วไปเปลี่ยนเป็น 3 ? นิ้วแล้วมันจะแรง อันนี้ไม่จริง ฟังดูแล้วขัดๆกับความรู้สึกนะครับ เป็นไปได้ไง ใหญ่กว่ามันต้องไหลดีกว่าสิ เขียนผิดหรือเปล่า ยืนยันอีกทีครับว่าไม่ผิด หลักการที่คุณพูดมันอาจจะถูกถ้าเราพูดถึงท่อระบายน้ำทิ้งที่อ่างล้างหน้า แต่นี่เรากำลังพูดถึง แรงดันที่ต้นท่อ แรงดันปลายท่อ และรูปร่างของ Pulse ครับ ลองกลับขึ้นไปอ่านด้านบนเพื่อความเข้าใจอีกทีหนึ่ง
มัน ?เกือบ? จะมีสูตรสำเสร็จสำหรับขนาดของท่อบอกไว้เหมือนกันนะครับ ว่ารถคุณควรจะใช้ท่อขนาดไหน ตามนี้ครับ 200 +/- แรงม้า ควรจะ 3 นิ้ว 250-300 แรงม้า ควรจะ 3 ?- 4 นิ้ว 400-500 แรงม้า ควรจะ 4 นิ้ว 500 แรงม้าขึ้นไป อันนี้ตามสะดวกแล้วล่ะครับ
น่าจะครบแล้วนะครับ ต้นท่อ ปลายท่อ ขนาดท่อ อะไรที่มันวิ่งอยู่ในท่อ หวังว่าคงให้ความกระจ่างได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

FORD FOCUS ST น่าใช้หรือเปล่า


FORD FOCUS ST น่าใช้หรือเปล่า

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ford.com
หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว ทาง Ford ได้เผยโฉมให้เห็นกับ ”Ford Focus ST” รุ่นปี 2013 กันแบบเต็ม ๆ แล้ว มาในปีนี้ Ford ก็เดินหน้าลุยอย่างเต็มตัว เพราะ ณ ขณะนี้ Ford Focus ST รุ่นปี 2013 พร้อมแล้วกับการเตรียมออกจำหน่ายใน 40 ประเทศทั่วโลก
 
Ford Focus ST 2013
สำหรับ Ford Focus ST 2013 นี้ จะมาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อยคือ ST1, ST2 และ ST3 ทั้งแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตูและแบบเอสเตทที่จัดเต็มกับความสปอร์ตแบบไม่มียั้ง เริ่มตั้งแต่ส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้ EcoBoost 2.0 ลิตร Ti-VCT ทำกำลังสูงสุดที่ 250 แรงม้า กับอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เวลา 6.5 วินาที ซึ่งส่งกำลังผ่านเกียร์แบบธรรมดา 6 สปีดที่ได้รับการปรับเซ็ทขึ้นมาใหม่
 
Ford Focus ST 2013
ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์ดูจะแรงน่าดู แต่เรื่องของความปลอดภัยนั้น ทาง Ford เอง ก็ได้จัดการเรื่องนี้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัตราทดพวงมาลัยขึ้นใหม่ เพื่อลดความเร็วเมื่อขับในทางตรง ตามด้วยระบบ ”Torque Vectoring Control” ที่ช่วยให้การเบรคของล้อทำได้ดีมากขึ้น และระบบควบคุมสเถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) ที่มีให้เลือกใช้ 3 แบบ ทั้งการใช้งานตามปกติเพื่อเน้นการยึดเกาะถนน การใช้งานเฉพาะ ESP สำหรับเส้นทางที่จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือจะเลือกปิดระบบนี้ไปเลยก็ได้ สำหรับคนที่อยากจะใช้สมรรถนะแบบไม่ยั้ง
มาดูในส่วนของการดีไซน์บ้าง อย่างที่บอกไปว่า Ford Focus ST 2013 เน้นในเรื่องของความเป็นลุคสปอร์ต ฉะนั้น ไม่ว่าจะภายในหรือนอก ก็จะมีดีไซน์ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยภายนอกนั้น  ก็จะมีดีไซน์ตามแบบฉบับของ Ford แต่แฝงไปด้วยลูกเล่นมากมาย ตั้งแต่ส่วนกระจังหน้าที่เป็นแบบรังผึ้ง ไปยันท้ายรถที่ใช้ท่อไอเสียคู่ที่รับกันกับดีไซน์ทั้งหมด และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านขนาด 18 นิ้ว
ด้านภายใน สะดุดตาทันทีกับเบาะนั่งของ Recaro ที่กระชากอารมณ์ของความเป็นรถสปอร์ตแบบสุด ๆ อีกทั้งยังมีพวงมาลัย หัวเกียร์ และแป้นเหยียบที่ได้รับการดีไซน์ขึ้นใหม่ ตามด้วยหน้าจอบริเวณคอนโซลที่ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยระบบสั่งการด้วยเสียง และชุดเครื่องเสียงของ Sony กับลำโพงกว่า 10 ขุดที่มีอยู่กระจายทั่วห้องโดยสาร
ตามรายงานระบุว่า Ford จะส่ง Focus ST 2013 ออกจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แต่ก็ยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัดว่าทาง Ford ตั้งไว้ที่ค่าตัวเท่าไหร่ แต่จากการคาดการณ์ของกูรูรถยนต์หลาย ๆ คนมองว่า น่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 25,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 750,000 บาท ซึ่งก็แน่นอนว่า นี่เป็นราคาที่ยังไม่ได้รวมภาษีของแต่ละประเทศแต่อย่างใด

Volvo S60 DRIVe 1.6L ราคา


Volvo S60 DRIVe 1.6L  ราคา
 
        สำหรับรุ่น S จะมาพร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 215/50R17 ขณะที่รุ่น B เป็นล้ออัลอยด์ 16 นิ้ว ยาง 215/55R16 ส่วนของความบันเทิงในรุ่น S จะติดตั้งหน้าจอขนาด 7นิ้ว พร้อมสะท้อนภาพด้านหลังขณะถอยจอด ทั้งยังเล่นแผ่น DVD ได้ ขณะที่รุ่น B จะเป็นหน้าจอขนาด 5 นิ้ว เล่นได้เพียง CD และไม่มีกล้องส่องหลังช่วยจอด อย่างไรก็ตามทั้งสองรุ่นจะให้ช่องต่ออุปกรณ์ภายนอก USB AUX
 
          ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และระบบเสียงแบบ High Performance Multimedia (Level 3) 4×40 วัตต์ ขับด้วยลำโพง 8 ตัว เป็นมาตรฐาน
 
        ด้านระบบความปลอดภัยอย่างระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบเบรกแบบเต็มแรงเบรก (Pedestrian Detection with Full Auto Brake) และระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า (Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert – ACC) จะมาเฉพาะรุ่น S เท่านั้น
 
 
โดยระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมเบรกแบบเต็มแรงเบรก จะประกอบด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และกล่องควบคุมระบบ เรดาร์มีหน้าที่ตรวจจับภาพมุมกว้าง 60 องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และวัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้งเป็นมาตรฐานและทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม.
 
ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนพร้อมกับเห็นไฟกระพริบที่หน้าปัดด้านบนของกระจกหน้ารถ สัญญาณเตือนเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายไฟเบรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มีปฏิกิริยาทันที ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะชาร์จเตรียมไว้ หากผู้ขับขี่ไม่เหยีบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณเตือน แต่ระบบคำนวณว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะทำงานทันที
 
ส่วนระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผัน จะแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า ช่วยให้ผู้ขับทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยในทุกระดับความเร็วจนถึง 200 ก.ม./ช.ม. ขณะเดียวกันช่วงการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าที่ระดับความเร็วต่ำกว่า 30 ก.ม./ ช.ม. ฟังก์ชั่นหยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติจะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดีกับคันหน้า จากรถที่หยุดอยู่กับที่ เพียงกดปุ่มหรือเหยียบคันเร่ง ก็สามารถขับตามคันหน้าได้อย่างนิ่มนวล และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 ก.ม./ช.ม. ก็สามารถตั้งความเร็วรถที่ต้องการและช่วงระยะวลาน้อยที่สุดที่รถจะวิ่งไปถึงคันหน้า ระบบจะปรับความเร็วให้สอดคล้องกับคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป
 
 
นั่นเป็นสองออปชันความปลอดภัยที่จัดมาให้ต่างกัน แต่ในส่วนของระบบอื่นๆยังคงมีเพียบตามมาตรฐานวอลโว่ อาทิ ระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ (Blind Spot Information system – BLIS) ระบบป้องกันรถคว่ำ (Rollover Protection System – ROPS) รวมถึงโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง พร้อมระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System – SIPS) และถุงลมนิรภัยด้านข้างที่นั่ง ม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) และระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System – WHIPS)
 
…จะเห็นว่าแค่ระบบความปลอดภัย หยิบยกมาพูดทั้งวันก็ไม่จบ ดังนั้นเวลาขับวอลโว่ เอส 60จริงๆ แล้วเปิดระบบทุกอย่างครบ ต้องบอกว่าคุณจะได้ตื่นตัว ตื่นเต้นตลอด เพราะมีทั้งแสง สี เสียง เตือนอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญยังคอยนั่งลุ้นระบบต่างๆว่าจะเตือนหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร…ซึ่งใครขับ เอส60 แล้วยังเกิดอุบัติเหตุได้ คงต้องยอมรับในฝีมือ หัวใจ หรือไม่ก็เป็นคนเมาจนขาดสติ
 
สำหรับความรู้สึกในการขับขี่ แทบไม่ต่างจากรุ่น CBU ที่วางเครื่องยนต์ 2.0 หรือถ้าเทียบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เดิมทำได้ 8.2วินาที แต่พอมาเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 180 แรงม้า ก็ยังทำได้ 9 วินาที โดยจังหวะออกตัวยังมีอาการดึง มีแรงกระชากแบบหลังติดเบาะเล็กๆ แต่ย่านความเร็วกลาง (50-80 กม./ชม.)อาจจะต้องบี้คันเร่งลงไปหนักหน่อยและรอจังหวะให้เทอร์โบบูสสัก 1-2 วินาที จากนั้นพอรอบทะลุ 3,000 -3,500ไปแล้วก็พุ่งกระฉูด
 
อย่างไรก็ตามเมื่อขับขี่ทางไกล อาจรู้สึกว่าพลังเครื่องยนต์จะมาแบบไม่ค่อยนุ่มเนียนเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์3 หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส ที่วางเครื่องยนต์เบนซินในพิกัด 2.0 ลิตร และ 1.8 ลิตรตามลำดับ นี่ไม่ต้องพูดถึงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่ส่งแรงได้แบบต่อเนื่องและสมูทกว่ามาก
 
ด้านพวงมาลัยน้ำหนักเบา ระยะสั่งงานดูจะขาดๆเกินๆ หลายครั้งควบคุมไม่ได้ดั่งใจและไม่สัมพันธ์กับความเร็วรถ ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวพอสมควร ขณะที่ช่วงล่างก็พยายามเซ็ทมาให้สปอร์ตกว่าวอลโว่รุ่นเดิมๆ รวมถึงรุ่นพี่ เอส 80 อยู่นิดๆ ซึ่งในภาพรวมสามารถรองรับได้ทั้งอารมณ์นุ่มนวล และให้ความนิ่งหนึบในการขับความเร็วสูง
ขณะเดียวกันเมื่อรวมกับการเซ็ทน้ำหนักแป้นเบรกและจังหวะการตอบสนองของเบรกอย่างลงตัว ตลอดจนสุดยอดของการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกแล้ว วอลโว่ เอส60 ให้ความมั่นใจในการขับขี่เป็นมาก
 
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย วอลโว่เคลมว่าทำได้ 13.9 กม./ลิตร แต่ถ้าใช้แก๊สโซฮอล์ อี85 จะได้ตัวเลข 10.3 กม./ลิตร
 
ขอบคุณบทความจากผู้จัดการครับ
http://www.manager.co.th/motoring/viewnews.aspx?NewsID=9550000056249

Suzuki New Swift รุ่นอีโคคาร์ สเปค ราคา


Suzuki New Swift รุ่นอีโคคาร์ สเปค ราคา
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก suzuki.co.jp
หลังจากที่เคยสร้างกระแสความแรงและความน่าสนใจ จนหลาย ๆ คนไม่พลาดที่จะไปจับจองเป็นเจ้าของ “Swift” ซิตี้คาร์ตัวแรงจากค่าย “ซูซูกิ” (Suzuki) กันไปเมื่อหลายปีแล้วนั้น มาในปี 2012 นี้ ทางซูซูกิเองได้พาน้องใหม่ของพวกเขาอย่าง “New Switft” ซึ่งเป็น อีโค คาร์ มาให้ได้จับจองกันแล้ว
ทางบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศให้ทราบแล้วว่า ในวันที่ 21 มีนาคมที่จะถึงนี้ ทางซูซูกิ ประเทศไทย จะนำ New Switft คันใหม่ตัวเป็น ๆ มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในบ้านเราช่วงวันที่ 21 มีนาคมนี้ และจะมีรถยนต์โชว์พร้อมกันทุกโชว์รูมทั่วประเทศในวันที่ 22 มีนาคมนี้
ทาคายูคิ ซูกิยามา ประธานซูซูกิ ประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตลาดรถอีโคคาร์ในบ้านเรานั้น ถือว่าเป็นตลาดที่กำลังเติบโตมาก ๆ ประกอบกับมีเพียงไม่กี่ค่ายเท่านั้นที่ผลิตอีโคคาร์ ประกอบกับการที่ซูซูกิ ได้ตัดสินใจเข้าร่วมลงทุนมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในโครงการโปรดักต์ แชมเปี้ยนตัวที่ 2 หรืออีโคคาร์ของรัฐบาลไทย จึงทำให้ตลาดตรงนี้มีความน่าสนใจที่ซูซูกิเองไม่พลาดที่จะโดดมาร่วมวงด้วย
ทั้งนี้ ซูซูกิจะเริ่มผลิตรถยนต์อีโคคาร์ทั้งสิ้น 10,000 คัน ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศไทยเป็นหลัก และมีแผนผลิตเพื่อการส่งออกบางส่วนไปยังประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนต่อไป และก็เป็นที่เชื่อด้วยว่า ซูซูกิเองน่าจะมียอดขายทั้งปี ทะลุ 1.5 หมื่นคัน
สำหรับ New Switft จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ ส่วนเรื่องของราคาก็มีการประกาศออกมาให้ได้ทราบโดยทั่วกันแล้ว โดยแบ่งออกเป็นเกรดต่าง ๆ คือ
- เกรด GA ราคา 469,000 บาท
- เกรด GL ราคา 507,000 บาท
- เกรด GLx ราคา 559,000 บาท
* เพิ่มอีก 5,000 บาทในทุกเกรด จะได้สีขาว Snow White Pearl *
ใคร สนใจก็ลองไปสัมผัสคันจริง ๆ กันได้เลย เพราะในวันพรุ่งนี้ (22 มีนาคม 2554) ทางซูซูกิก็พร้อมพา New Swift ให้คุณ ๆ ได้จับจองกันแล้วที่โชว์รูมซูซูกิทั่วประเทศ

หมวกกันน็อคที่นิยมที่สุดตอนนี้


หมวกกันน็อคที่นิยมที่สุดตอนนี้
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมขอขอบคุณภาพประกอบจาก amazon.com
 
เมื่อคุณมีรถมอเตอร์ไซด์แรง ๆ สวย ๆ ซักคันแล้ว คุณอาจกำลังมองหาอุปกรณ์สำคัญอย่าง “หมวกกันน็อค” ที่จะมาช่วยเสริมแต่งให้คุณดูเท่ขึ้นไปอีก รวมทั้งช่วยให้คุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เมื่อต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปโฉบเฉี่ยวตามท้องถนน ดังนั้น เราขอแนะนำ 10 หมวกกันน็อคที่ขายดีสุด ๆ ในปีนี้ เพื่อให้คุณได้เลือกหามาใส่กันดังต่อไปนี้
10 สุดยอดหมวกกันน็อคขายดีแห่งปี 2012
Nexx XR1R Full-Face-Helmet
หมวกคาร์บอนไฟเบอร์ใบนี้อาจเป็นหมวกกันน็อคที่มีความแข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยพบมา ด้วยการพัฒนาทางด้านคุณภาพและการออกแบบมาอย่างดี ถึงแม้หมวกกันน็อคไฟเบอร์ใบนี้อาจจะราคาแพงกว่าหมวกพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาสมากไปสักหน่อยก็ตาม แต่มันก็มีค่าพอที่จะป้องกันศีรษะของคุณให้ปลอดภัยไปนาน ๆ ซึ่งถ้าคุณมองหาหมวกที่ผ่านมาตรฐานจากสหรัฐฯ DOT แบบสบาย ๆ ล่ะก็ หมวกใบนี้คือตัวเลือกที่ดีที่สุด
VCAN V531 Cruiser Half Helmet
หมวกกันน็อคชนิดครึ่งใบสีดำขลับใบนี้รวมส่วนผสมของความมีสไตล์ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว โดยทำจากเทอร์โมพลาสติก เรซินที่ทนทาน และผ่านมาตรฐาน DOT ในเรื่องของการตกแต่ง เส้นใยภายในหมวกก็ทำออกมาให้ผู้สวมใส่ ๆ แล้วไม่รู้สึกอึดอัด ส่วนสายนิรภัยรัดคางทำจากเชือกไนล่อน D-Ring และกะบังหน้าหมวกที่สามารถถอดเก็บได้ โดยมาพร้อมดีไซน์ทั้ง 15 แบบ มีทั้งหมด 5 ขนาดให้เลือก เพื่อความเหมาะสมแก่ผู้ใส่
Shark S650 FUSION TEC Full-Face-Helmet
หมวกฉลามใบนี้มาพร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายสวยงามและปลอดภัย เปลือกหมวกทำจากวัสดุเทอร์โมพลาสติก เรซินหลากหลายชนิด ภายในทำด้วยพลาสติกแบบมีโช๊คอัพความหนาแน่นหลายระดับและอากาศถ่ายเทได้เป็นอย่างดี พร้อมกระจกนิรภัยแบบกันรอยขีดข่วน ระบบถอดแบบด่วนและระบบป้องกันอากาศเข้าแบบเวนตูรี่ ส่วนข้างในทำจากเนื้อผ้าไมโครไฟเบอร์ ที่สำคัญหมวกใบนี้ยังป้องกันรังสียูวีได้อย่างดีเยี่ยมและผ่านมาตรฐาน DOT และ ECE 22-05
ARAI VECTOR CONTRAST SILVER Full-Face-Helmet
หมวกใบนี้อาจดูเหมือนหมวกกันน็อคธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหมวกที่คุณสามารถใส่ได้สบาย ๆ ทั้งวัน ด้วยยี่ห้อ ARAI ด้วยแล้วยิ่งดูมีความน่าเชื่อถือ ด้านนอกทำจากลามิเนตชั้นดีน้ำหนักเบา แข็งแรงทนทาน และไลน์เนอร์หมวกแบบเทคโนโลยีไฮบริด และมีระบบถ่ายเทอากาศอย่างดีพร้อมป้องกันอันตรายจากบริเวณด้านหน้า ส่วนกระจกนิรภัยสามารถมองในเวลามีหมอกจัดได้ดีและถอดทำความสะอาดได้ง่าย ผ่านมาตรฐาน DOT
ARAI HELMET XD’3 BLACK FROST Off-Road-Helmet
เป็นหมวกกันน็อคจาก ARAI อีกเช่นกัน โดยหมวกใบนี้เหมาะสำหรับนักบิดที่ชอบขี่ขึ้นเขาโดยสามารถป้องกันอากาศเข้าและหมอกจัดด้วยระบบ Pivot Twin-cam ป้องกันอากาศพร้อมช่องลม 4 จุด เปลือกหมวกทำจากลามิเนทไฟเบอร์กลาสที่มีน้ำหนักเบาแต่ทนทาน ลู่ลม มีแผ่นกันลมใต้คางที่ช่วยไม่ให้ลมขึ้นมา พร้อมนวมในและหน้ากากนิรภัยสามารถถอดทำความสะอาดได้ รวมทั้งยังผ่านมาตรฐานการการันตีจาก DOT และ SNELL M 2010
ARAI XD’3 ALUMINUM SILVER Off-Road-Helmet
หมวกจากแบรนด์ ARAI อีก 1 ใบ องค์ประกอบส่วนใหญ่เหมือนรุ่น XD’3 BLACK FORST แต่ต่างกันเพียงสี โดยมีระบบ Pivot Twin-cam ป้องกันอากาศพร้อมช่องลม 4 จุด เปลือกหมวกทำจากลามิเนทไฟเบอร์กลาสพร้อมแผงกันลมใต้คาง ลู่ลม นวมในและหน้ากากนิรภัยสามารถถอดทำความสะอาดได้ พร้อมผ่านมาตรฐาน DOT และ SNELL เช่นเดิม
Giro Remedy S Carbon 2009 Snow Helmet
ถ้ามองหาหมวกวิบากที่ใส่สำหรับขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาก็ตัวนี้เลย โดยเปลือกของหมวกทำจากคาร์บอนไฟเบอร์กลาสป้องกันความร้อนได้ดีอากาศถ่ายเทสะดวก ด้านช่องมองทางก็ปรับขนาดเพื่อช่วยให้คุณมองได้รอบอย่างสะดวก แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับหมวกใบนี้คือวัสดุกันกระแทก EPS ที่ป้องกันได้ดีกว่าปกติและน้ำหนักเบา ช่วยให้คุณเบาใจได้ในระดับหนึ่ง
KBC Helmets VR2R VULCAN
หมวกสำหรับนักบิดในเมืองนี้ วัสดุทำมาจากไฟเบอร์ คาร์บอน และเคปลาร์ แบบลู่ลม กระบังหน้าแบบ OPCC กันรอยขีดข่วน พร้อมระบบ KBC ที่ช่วยให้ถอดออกได้ง่าย สามารถป้องกันเสียงจากภายนอกได้และอากาศถ่ายเทอย่างดี มาพร้อมมาตรฐาน SNELL และ DOT
Nolan Modular Helmet
มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีสื่อสาร N-COM เพื่อใช้สำหรับรับโทรศัพท์ ตัวหมวกเป็นแบบลู่ลมและป้องกันลม หมอกและรังสียูวีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่กันกระแทกบริเวณคางทำจากสแตนเลสสตีลกันสนิมและมีซับในคางอย่างดี ไลน์เนอร์หมวกสามารถถอดทำความสะอาดได้ ตัวล็อคคอถอดง่าย ผ่านมาตรฐาน DOT เช่นกัน
ARAI RAM Open-Face-Helmet
ARAI แบบเปิดหน้าตัวนี้ทำจากลามิเนทไฟเบอร์กลาสที่เบาและทนทาน มาพร้อมด้วยระบบป้องกันอากาศครบวงจร 5 แบบ มีช่องระบายอากาศด้านบนและกะบังป้องกันหน้าแบบพิเศษ ZR ที่สามารถถอดทำความสะอาดได้ ผ่านมาตรฐาน SNELL และ DOT
เอาล่ะ เมื่อคุณได้ชมหมวกกันน็อคขายดีจากทั่วโลกกันไปเรียบร้อยทั้ง 10 อันดับแล้ว ถ้าคุณสนใจแบบไหนก็เลือกได้ตามสะดวก ขอเพียงแต่คุณสวมหมวกกันน็อคตลอดเวลาที่ขับขี่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนแบบใด รับรองว่ามีประโยชน์ ปลอดภัยกว่าไม่สวมใส่แน่นอน ที่สำคัญอย่าลืมปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งคัด เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ นะครับ

BMW 1 Series 3 D สเปค ราคา ความคุ้มค่า


BMW 1 Series 3 D สเปค ราคา ความคุ้มค่า
 
BMW 1 Series เติมตลาดรถหรูไซส์กะทัดรัด

BMW เปิดตัวรถเล็กรุ่นล่าสุดของค่าย BMW 1 Series เวอร์ชั่น 3 ประตูโดยก่อนหน้านี้ ได้เปิดตัวรุ่น 5 ประตูไปแล้ว พร้อมกับแนะนำรหัส M ตัวเลือกของผู้เสพติดความแรงแบบถึงใจ

BMW 1 Series 3 D พกพาความสปอร์ตมาเต็มพิกัด ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของรถหรูขนาดกะทัดรัด รูปลักษณ์โดยรวมออกแบบให้เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ โดดเด่นด้วยเส้นสายด้านข้างที่ช่วยเพิ่มความสปอร์ต ไฟหน้าดีไซน์โฉบเฉี่ยว กันชนเจาะช่องดักลมขนาดใหญ่พร้อมติดไฟตัดหมอก หลังคาลาดเอียงตามสไตล์รถสปอร์ตไปจบที่สปอยเลอร์ด้านหลัง ผ่านการลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นตามหลัก Intelligent Lightweight
 
Engineering  เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์จาก BMW
 
ความแตกต่างระหว่างรุ่น 3 ประตูกับรุ่น 5 ประตูที่เห็นเป็นจุดเด่นก็ตรงที่ประตูคู่หน้าของรุ่น 3 ประตูมีความยาวมากกว่าและเป็นแบบไร้กรอบกระจก ส่วนมิติตัวรถจะเท่ากับรุ่น 5 ประตู ยาว 4,324 มิลลิเมตร/ กว้าง 1,765 มิลลิเมตร/ สูง 1,421 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,690 มิลลิเมตร หากเทียบกับรุ่นที่แล้วทีมออกแบบของ BMW ระบุว่า เวอร์ชั่น 3 ประตูจะมีพื้นที่วางขาเพิ่มขึ้น 21 มิลลิเมตร และที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุเพิ่มขึ้นอีก 30 ลิตร รวมเป็น 360 ลิตร
 
 
เครื่องยนต์มีทั้งเครื่องเบนซินและเครื่องดีเซล พร้อมกับระบบอัดอากาศอันเลื่องชื่อของ BMW TwinPower Turbo โดยความแรงที่ได้มานั้นเกิดขึ้นจากการใช้ระบบ Valvetronic ปรับ Timing และระยะยกของวาล์วไอดี ให้แปรผันตามความต้องการของเครื่องยนต์ อีกทั้งยังติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน Double-VANOS ที่แปรผันทั้งไอดีและไอเสีย เครื่องยนต์เบนซินเริ่มจากรุ่น 114 i 1.6 ลิตร TwinPower Turbo 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตัน-เมตร ตามด้วยรุ่น 116 i 136 แรงม้ากับแรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร และรุ่น 125 i 2.0  ลิตร TwinPower Turbo 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร
 
 
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลมี 3 รุ่น ขนาด 2.0 ลิตร คือ 116 d 116 แรงม้า 118 d 143 แรงม้า แรงที่สุดคือรุ่น 125 d 218 แรงม้า และถ้าหากต้องการความประหยัด ในรุ่น 116 d มาพร้อมกับระบบ Efficient Dynamics Edition จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมระบบ Start/Stop พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ระบบช่วงล่างปรับปรุงพิเศษ ให้ยางลดแรงต้านการหมุนของล้อ อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 99 กรัม/กิโลเมตร
 
นอกจากรุ่นมาตรฐานแล้ว ยังมีรุ่นแรงรหัสร้อน M 135 i พร้อมชุดแต่ง M Performance ช่วงล่างปรับปรุงใหม่เพื่อการขับขี่แบบสปอร์ต กันชนหน้า-หลังทรงใหม่พร้อม Diffuser ช่วยจัดเรียงอากาศใต้ท้องรถวางเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.9 วินาที
 
ที่มา kapook

การขับรถเกียร์ออโต้อย่างถูกต้อง

การขับรถเกียร์ออโต้อย่างถูกต้อง

ผู้ผลิตรถแทบทุกค่าย ต่างพากันใส่เกียร์อัตโนมัติไว้ให้เป็นทางเลือกของลูกค้า ที่ใช้งานส่วนใหญ่ในเมืองที่มีสภาพการจราจรหนาแน่น ทำให้การขับขี่มีความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เนื่องจากเท้าซ้ายไม่ต้องคอยเหยียบครัชให้วุ่นวายอีกต่อไป  เรามาดูวิธีการขับขี่เกียร์อัตโนมัติที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อเกียร์และกระเป๋าของท่านกันดีกว่าครับ

1)การขับรถเกียร์ออโต้โดยทั่วๆไป ที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคพิเศษแบบนักแข่งรถ ควรใช้เท้าขวาเพียงเท้าเดียวในการเหยียบคันเร่งเบรค ไม่ควรใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรค

2) สำหรับท่านที่เพิ่งจะเริ่มขับรถ พยายามเบรคด้วยเท้าขวาเท่านั้น และเหยียบเบรคทุกครั้งก่อนสตารท์รถ เพื่อป้องกันอันตรายถึงแม้ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ตำแหน่ง(P)หรือ(N)ก็ตาม และเหยียบเบรคทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ว่าง( N ) หรือเกียร์จอด (P) ไปเป็นเกียร์เดินหน้า (D) หรือเกียร์ถอยหลัง (R) จำไว้ให้ขึ้นใจครับ รถหยุดนิ่ง เหยียบเบรคก่อนทุกครั้งก่อนขยับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ครับ
3) ถ้าท่านเลื่อนคันเกียร์ออกจากตำแหน่งเดินหน้า (D) ไปเป็นตำแหน่งถอยหลัง (R) หรือเปลี่ยนจากตำแหน่งถอยหลัง (R) ไปเป็นตำแหน่งเดินหน้า (D) ควรให้รถหยุดสนิทให้เรียบร้อยก่อน หลายท่านขับแบบใจร้อนและผิดวิธี รถยังคงเคลื่อนที่อยู่ก็รีบเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ จะทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานสั้น อย่าลืมว่า ค่าซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ใหม่ในรถยนต์บางรุ่นมีราคาสูงมาก

4) ขณะที่รถวิ่งอยู่ไม่ควรเข้าเกียร์ตำแหน่ง (N)  เช่นเห็นไฟแดงข้างหน้าแต่ยังอีกไกล กลัวว่าจะไม่ประหยัดน้ำมัน ท่านจึงเข้าเกียร์ในตำแหน่ง (N) และปล่อยให้รถไหลไปจนถึงไฟแดง รถแทบทุกรุ่นในยุคปัจจุบันใช้ระบบหัวฉีดควบคุด้วยสมองกลที่ทันสมัย การจ่ายเชื้อเพลิงขึ้นตรงกับลิ้นปีกผีเสื้อ  ถ้าท่านยกเท้าออกจากคันเร่งลิ้นปีกผีเสื้อก็จะปิดทันที เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อจะรายงานกล่องสมองกลที่ควบคุมระบบการจ่ายเชื้อเพลิง ให้หยุดทำการจ่ายน้ำมันทันที ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปลดเกียร์ว่าง (N) แต่อย่างใด และยังเป็นผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเกียรืของท่านอีกด้วย

เนื่องจากรถยนต์ในขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เกียร์ที่อยู่ในตำแหน่ง(D) จะมีปั้มแรงดันสูง ส่งน้ำมันเกียร์เข้าไปหล่อลื่นอยู่ตลอดเวลา
แต่ปั้มน้ำมันของเกียร์อัตโนมัติจะทำงานน้อยลงเมื่อเกียร์ อยู่ในตำแหน่ง (N) เมื่อไม่มีแรงดันที่พอเพียงจะดันน้ำมันไปหล่อลื่นเกียร์อย่างเพียงพอ จะทำให้เกียร์ออโต้ของท่านร้อน และเกิดการสึกหรอเสียหายตามมา และด้วยสาเหตุนี้เองเวลารถที่ใช้เกียร์ออโต้เสียและจำเป็นต้องลากไปอู่จึงจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมน้ำมันเกียร์เพิ่มเข้าไปอีก เพื่อช่วยลดความร้อนของเกียร์ขณะที่ทำการลากจูง หรือถ้าหาน้ำมันเกียร์มาเติมไม่ได้ ควรยกให้ล้อที่ใช้ขับเคลื่อนให้ลอยพ้นพื้นถนนเนื่องจากระบบปั้มน้ำมัน เพาว์เวอร์ของระบบเกียร์อัตโนมัติหยุดทำงาน ไม่แนะนำให้ถอดเพลาสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหลังเพระยุ่งยากและเสียเวลามากครับ ปัจจุบันนี้มีรถยก 6 ล้อ แบบสไลด์ออนสามารถนำรถทั้งคันขึ้นไปไว้บนกระบะหลัง สะดวกสบายและปลอดภัยต่อเกียร์อัตโนมัติและรถยนต์ราคาแพงของท่านครับ

5) การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ 2 ต้องระมัดระวังเนื่องจากตำแหน่ง 2 จะมีอัตตราทดเฉพาะเกียร์ 1 และ 2 ซึ่งบริษัทผู้ผลิตต้องการทำให้ท่านเจ้าของรถใช้งานในกรณีที่ต้องการแรงบิด มากๆเช่นทางขึ้นเนินที่ค่อนข้างชัน หรือต้องการการหน่วงความเร็วของรถเอาไว้เช่นในขณะที่ขับรถลงเนินเขา(ENGINE BRAKE) หรือวิ่งบนเส้นทางที่คดเคี้ยว ลาดชันมากๆ ห้ามใช้ตำแหน่งเกียร์ 2 ในขณะที่ท่านขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ใช้รอบเครื่องสูงตามไปด้วย จนเกินขีดจำกัดและก่อให้เกิดความเสียหาย และอาจลื่นไถลเนื่องจากเกิดแรงบิดมหาศาลมากระทำที่ล้อ ทำให้รถเสียการทรงตัวได้ครับ

6) ไม่ควรขับลากเกียร์ โดยทั่วไปการขับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ (D) ระบบสมองกลที่ควบคุมเกียร์จะทำการสั่งงานให้ปรับเปลี่ยนเกียรให้ขึ้นลงตาม ความเหมาะสมและความเร็วของรถอยู่ตลอดเวลา บางท่านรู้มากใช้วิธีเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์โดยการเลื่อนคันเกียร์ขึ้นลงเองใน ขณะที่รอบเครื่องทำงานสูงสุดเพียงเพื่อหวังผลทางด้านอัตราเร่งแต่จะมีผลทำ ให้ผ้าคลัทช์ และระบบทอกค์คอนเวอร์เตอร์เกิดการสึกหรอเสียหาย และทำให้มีอายุการใช้งานของเกียร์อัตโนมัติสั้นลง

7) ไม่ขับแบบเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำเอง(คิกดาวน์)บ่อยๆ  การขับในตำแหน่ง (D)ระบบสมองกลควบคุมเกียร์จะทำการคำนวนค่าของแรงต่างๆและปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เกียร์ตามความเร็วของรถในขณะนั้นตลอดเวลาอยู่แล้ว การกดคันเร่งเพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำหรือที่เรียกว่าคิกดาวน์ ไม่ควรทำบ่อยครั้ง หรือทำเท่าที่จำเป็นในการเร่งแซงให้พ้นเท่านั้น ถ้าท่านทำบ่อยๆ ผ้าคลัทช์ของเกียร์จะทำงานหนักและสึกหรอเร็วมากขึ้นครับ

8 ควรมีสายพ่วงแบตตารี่ติดท้ายรถไว้ตลอดเวลา เนื่องจากรถยนต์เกียร์อัตโนมัติไม่สามารถเข็นด้วยความเร็วต่ำแล้วกระตุ กสตารท์ให้ติดเครื่องยนต์ได้เหมือนรถยนต์เกียร์ธรรมดา การเข็นรถเกียร์อัตโนมัติแล้วใช้วิธีกระตุกสตารท์ ต้องใช้ความเร็วอย่างน้อย 20กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเข็นด้วยแรงคนเป็นไปได้ยาก และยังเสี่ยงกับความเสียหายต่อเกียร์ในขณะที่ทำการเข็นหรือลากอีกด้วย ควรตรวจสอบแบตตารี่ให้มีไฟพอเพียงต่อการสตารท์ทุกครั้งครับ

9) น้ำมันเกียร์อัตโนมัติหัวใจของการหล่อลื่นและยืดอายุการใช้งานของเกียร์รถ ท่านให้ยาวนาน จึงควรเอาใจใส่ตรวจสอบบ่อยๆ การตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์ให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าขีดที่ก้านวัด กำหนดหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางทีแนะนำ ไม่มีเกียร์อัตโนมัติใดไม่ต้องการการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตลอดอายุการใช้ งานของรถตามที่มีหลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์โฆษณาชวนเชื่อให้รถยนต์ของตนดูทน ทานและแข็งแรงตามความเป็นจริงจากสภาพการจราจร อุณภูมิ และสภาพการขับขี่ เกียร์อัตโนมัติทุกยี่ห้อยังต้องการการดูแลแปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะ ทางที่ใช้ครับ

10) ตำแหน่งในเกียร์อัตโมติ
P)PARKING-เป็นตำแหน่งเกียร์ที่ใช้จอดในลักษณะเป็นที่เป็นทางไม่จอดขวางทางรถคันอื่นแล้วใส่ตำแหน่งเกียร์นี้ไว้

หรือจอดในทางที่มีลักษณะลาดชัน และใช้ในตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์
R) REVERSE-เป็นตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง เหยียบเบรคทุกครั้งที่จะเข้าเกียร์ในตำแหน่งนี้
N) NEUTRAL-เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการตัดกำลังของเครื่องยนต์ที่ส่งลงมาสู่เกียร์ และใช้เป็นตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์

D) DRIVE-เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้าและใช้ในการขับขี่ตามปกติ
โดยตำแหน่งเกียร์จะปรับเปลี่ยนเองตามคำสั่งของสมองกลที่ควบคุม
ยกเว้นรถยนต์บางรุ่นที่มีสวิทช์ปรับเปลี่ยนระบบเกียร์และผู้ใช้เปิดสวิทช์เพื่อใช้งานในการปรับตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเอง

2) เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้า แต่จะมีอยู่แค่ 1 และเกียร์ 2 อยู่ในตำแหน่งนี้
ใช้เพื่อขับขึ้นลงทางที่มีเนินสูงชัน ทางที่คดเคี้ยวไปมา ที่ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้
1) LOW-เกียร์ในตำแหน่งนี้ มีเพียงเกียร์ 1 เท่านั้น ใช้สำหรับงานหนักที่ต้องการกำลัง หรือรถติดหล่ม หรือทางขึ้น ลงเขาที่ชันมาก
ขอบคุณบทความจาก http://men.mthai.com/car/car-tips/1605.html ครับ